การเลือกเครื่องปรับอากาศ

เครื่องปรับอากาศที่มีขายในท้องตลาดออกแบ่งออกได้ 4 ลักษณะดังนี้ :
1.แบบติดหน้าต่าง หรือ WINDOW TYPE
     เป็น ประเภทที่รวมอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ในชุดเดียว และติดแขวนไว้ที่ช่องหน้าต่างหรือผนังห้อง โดยเป่าลมเย็นให้เข้าห้อง พร้อมกับมีส่วนระบายความร้อนออกมาด้านนอก แบบนี้ตัวเครื่องจะมีขนาด ประมาณ 0.7-2.5 ตัน เครื่องปรับอากาศประเภทนี้เหมาะกับห้องที่ติดตั้งวงกบหน้าต่าง มีกระจกช่องแสงปิดตาย บานกระทุ้งหรือบานเกล็ด

ข้อดี :

การติดตั้งเคลื่อนย้ายสะดวกและรวดเร็ว

ข้อเสีย :

หากเครื่องมีขนาดใหญ่เกินไปจะมีปัญหาในการติดตั้ง เพราะบริเวณช่องหน้าต่างไม่สามารถรับน้ำหนักมากได้

กินไฟสูงและมีเสียงดังกว่าทุกประเภทเพราะการสั่นสะเทือนของตัวเครื่อง

2.แบบแยกส่วน หรือ SPLIT TYPE
    เป็น แบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด ที่เรียกว่าแยกส่วนเพราะได้แยกเอาส่วนที่เป่าลมเย็นออกจากตัวเครื่องระบาย ความร้อน โดยมีขนาดตั้งแต่ 1- 50 ตัน ติดตั้งได้ทั้งที่ใต้เพดานหรือบนพื้นราบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสวยงามและความเหมาะสมกับห้อง
ข้อดี :
ไม่ค่อยมีเสียงดังรบกวน เหมาะกับห้องนอนที่ต้องการความเงียบ

ข้อเสีย :

มีความยุ่งยากในการติดตั้ง เพราะต้องคำนึงถึงการเดินท่อระหว่างเครื่องที่แยกส่วน

 

3. แบบเครื่องชนิดทำน้ำเย็น หรือ WATER CHILLER
     ระบบนี้ใช้น้ำเป็นตัวกลางในการสร้างความเย็น เหมาะใช้กับอาคารขนาดใหญ่ ตัวเครื่องมีน้ำหนักตั้งแต่100 ตันขึ้นไป
ข้อดี :
กินไฟน้อยกว่าประเภทอื่น

ข้อเสีย :

มีความยุ่งยากในการติดตั้งมาก และต้องเตรียมโครงสร้างให้แข็งแรง

4. แบบเคลื่อนที่ได้ หรือ PORTABLE TYPE

     เป็น ระบบที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สะดวกในการนำไปใช้งาน ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด เคลื่อนย้ายได้ง่าย เนื่องจากติดตั้งตัวล้อไว้ที่ฐาน
ข้อดี :
เคลื่อนย้ายไปทุกที่ได้สะดวก น้ำหนักเบา ใช้งานง่ายและกินไฟน้อย

ข้อเสีย :

ใช้ได้กับห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ประมาณ 10-13 ตารางเมตร
ข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ
ขนาดที่เหมาะสมกับห้องที่ต้องการติดตั้ง สามารถดูได้จากตาราง ขนาดพื้นที่ห้องเทียบความสูงของห้องปกติ ( ไม่เกิน 3เมตร ) พื้นที่ห้องตามความสูงปกติ ขนาดเครื่องปรับอากาศ ขนาดห้อง( ตารางเมตร) ( บีทียู/ชั่วโมง )
*B.T.U. ย่อมาจาก BRITISH THERMAL UNIT

คำนึงถึงการใช้งานหรือวัตถุประสงค์ของห้องต่างๆ เช่น

ห้องที่มีพื้นที่จำกัด เช่นห้องชุด คอนโดมิเนียม ควรใช้แบบแขวนใต้ฝ้าเพดาน

ห้องนอน ควรเน้นประเภทที่เงียบเป็นพิเศษ และให้ความแม่นยำในการควบคุมอุณหภูมิเพื่อการพักผ่อนยาวนานตลอดคืน

อาคารขนาดใหญ่ นิยมใช้เป็นระบบปรับอากาศส่วนกลาง หรือ CENTRAL AIR



นอกจากนี้ต้องคำนึง เรื่องการวางระบบโครงสร้าง ภายนอก ภายใน รวมถึงระบบไฟฟ้า และพื้นที่ในการเดินท่อต่างๆ

พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ ( ดูจากฉลากที่ติดมากับตัวเครื่อง )

ควรเลือกประเภทที่ประหยัดพลังงานไฟฟ้า โดยดูจาก ค่า EER ( ENERGY EFFICIENCY RATIO )

ค่าที่ได้ควรเท่ากับ10 หรือมากกว่า ค่า EER ยิ่งมากเท่าไรก็จะประหยัดไฟฟ้ามากขึ้น
ขนาดทำความเย็น (บีทียู/ชั่วโมง)
กำลังไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมด ( วัตต์ )

ค่า EER ตั้งแต่ 7.6 ลงไป ถือว่าอยู่ในระดับ 1 มีเกณฑ์ต่ำ

ค่า EER ตั้งแต่ 7.6-8.6 ถือว่าอยู่ในระดับ 2 มีเกณฑ์พอใช้

ค่า EER ตั้งแต่ 8.6-9.6 ถือว่าอยู่ในระดับ 3 มีเกณฑ์ปานกลาง

ค่า EER ตั้งแต่ 9.6-10.6 ถือว่าอยู่ในระดับ 4 มีเกณฑ์ดี

ค่า EER ตั้งแต่ 10.6ขึ้นไป ถือว่าอยู่ในระดับ 5 มีเกณฑ์ดีมาก

ราคาและการบริการหลังการขาย

ปัจจุบัน เครื่องปรับอากาศส่วนใหญ่มีมาตราฐานใกล้เคียงกันมาก ดังนั้นการพิจารณาอาจเปรียบเทียบจากจำนวนปีที่ใช้งานกับราคาของเครื่อง และใช้กระแสไฟน้อยที่สุดแต่ให้ความเย็นมากที่สุด รวมถึงการรับประกันสินค้าและบริการหลังการขาย

การเลือกตำแหน่งติดตั้งที่เหมาะสม

ไม่โดนฝนสาด ทำให้ยืดอายุการใช้งาน

บริเวณที่ไม่ถูกแสงแดดส่องโดยตรงตลอดเวลา

บริเวณที่สามารถปล่อยให้เสียงและลมร้อนเป่าออกมาได้โดยไม่รบกวนบริเวณข้างเคียง

ตำแหน่งติดตั้งมีโครงสร้างแข็งแรง หรือใกล้คานหรือเสา เพื่อรับน้ำหนักตัวเครื่องได้ดี ปลอดภัย

ตัวเครื่องควรยกระดับให้พ้นจากพื้นดินอย่างน้อย 10 เซนติเมตร หรือพ้นจากระดับที่น้ำท่วมถึง สามารถเข้าซ่อมบำรุงได้ง่าย

หลีกเลี่ยงการติดตั้งในบริเวณที่มีกรดซัลไฟด์ เช่น บริเวณท่อระบายน้ำทิ้ง

หลีกเลี่ยงการติดตั้งในบริเวณที่มีโอกาสติดไฟเนื่องจากแก๊สรั่ว

ตำแหน่งที่วางไม่กีดขวางทางเดิน

อยู่บริเวณที่สามารถระบายความร้อนได้สะดวก

ที่มาข้อมูล: http://www.propertytothai.com

ขั้นตอนการยื่นเรื่องขอสินเชื่อ


1.       ติดต่อกับฝ่ายสินเชื่อของธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ต้องการ
2.       ขอแบบฟอร์ม เพื่อแสดงความประสงค์ขอกู้เงิน พร้อมนำหลักฐานยื่นประกอบการกู้อย่างครบถ้วน ถ้าเอกสารไม่ครบต้องนำเอกสารมายื่นเพิ่มเติมภายหลัง อาจจะทำให้การอนุมัติล่าช้าออกไป
3.       การประเมินราคาหลักประกัน และชำระค่าธรรมเนียมในการประเมิน เพื่อตรวจสอบมูลค่าตลาดยุติธรรมที่เหมาะสมของหลักประกัน โดยส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบสภาพทรัพย์สิน และประเมินราคาบ้านที่ดิน หรือที่อยู่อาศัยที่จะนำมาจำนองเป็นหลักประกัน โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน
4.       ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะตรวจสอบคุณสมบัติของผู้กู้ พิจารณาวิเคราะห์รายได้, ฐานะการการเงิน, ความสามารถในการผ่อนชำระ, ตรวจสอบเครดิตบูโร, หลักประกันของผู้กู้ และปัจจัยอื่น ๆ และแจ้งผลการขอกู้ให้ผู้กู้ทราบ ปกติใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์
5.       เมื่อได้รับอนุมัติกู้แล้ว ผู้กู้ทำการติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อมาลงนามในสัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง พร้อมทั้งนัดวันไปทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์-จำนองที่สำนักงานที่ดิน
6.       วันโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อ, ผู้ขาย และเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินจะไปพร้อมกันที่สำนักงานที่ดิน ทำสัญญาซื้อ-ขาย โอนกรรมสิทธิ์ และชำระค่าธรรมเนียม,อากร,ภาษี แล้วแต่ผู้ซื้อ,ผู้ขายจะตกลงกัน
7.       เจ้าหน้าที่สถาบันการเงินจะจ่ายเงินกู้ให้กับผู้กู้เป็น แคชเชียร์เช็ค เพื่อให้ผู้กู้จ่ายเงินคงเหลือให้กับผู้ขาย เมื่อผู้กู้ได้รับเงินกู้แล้ว ผู้กู้มีหน้าที่ในการผ่อนชำระเงินงวดทุกเดือน ภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญา
เอกสารสำคัญประกอบคำขอกู้
1.       เอกสารส่วนตัว ทั้งผู้ขอกู้,ผู้กู้ร่วม และคู่สมรส เช่น บัตรประจำตัวประชาชน-ข้าราชการ, ทะเบียนบ้าน, ทะเบียนสมรส, ใบเปลี่ยนแปลงชื่อ
2.       เอกสรแสดงฐานะทางการเงิน เช่น บัญชีเงินฝากหรือ Statement ย้อนหลัง 6 เดือน, ต้นฉบับหนังสือรับรองเงินเดือน (กรณีพนักงาน), ใบทะเบียนการค้า/หนังสือรับรองการจดทะเบียนพาณิชย์ (กรณีประกอบธุรกิจส่วนตัว)
3.       เอกสารหลักทรัพย์ เช่นสำเนาโฉนดที่ดิน,สัญญาจะซื้อจะขาย, หลักฐานการชำระเงินดาวน์หรือเงินมัดจำ
4.       เอกสารเพิ่มเติม เช่น สัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง,ใบอนุญาตก่อสร้าง,แบบแปลนอาคาร
ที่มาจาก: http://www.homethaitoday.com