พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

ข้อดีของพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

1. เป็นการกระจายอำนาจทางการคลังไปสู่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างแท้จริง 
ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการรายได้ด้วยตนเอง ลดการพึ่งพางบประมาณจากรัฐบาลกลาง

2. ท้องถิ่นประมาณการรายรับได้แน่นอน จากฐานของทรัพย์สินมิใช่จากฐานของ
รายได้ ทำให้รายรับค่อนข้างสม่ำเสมอไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร  และจัดสรร
งบประมาณประจำปีสำหรับการพัฒนาท้องถิ่นได้ค่อนข้างแน่นอน

3. ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ที่ดิน เนื่องจากผู้ถือครองที่ดินจำนวนมากก็ต้อง
เสียภาษีมากโดยเฉพาะหากปล่อยไว้รกร้างว่างเปล่า ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจก็ต้องเสียภาษี
ในอัตราสูงสุด  จะทำให้มีการกักตุนที่ดินน้อยลง  หรือผู้ถือครองที่ดินจำนวนมากจะนำที่ดินออกให้
ผู้อื่นใช้ประโยชน์ในรูปของการให้เช่า หรือให้ทำประโยชน์เพื่อไม่ให้รกร้างว่างเปล่า ซึ่งจะเป็นการลด
ภาระภาษีและจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อท้องถิ่นและต่อประเทศด้วย

4. ประชาชนในท้องถิ่น จะให้ความสำคัญกับการบริหารและการบริการ ของ
องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น  เนื่องจากทุกครัวเรือนต้องเสียภาษีทุกๆปีทำให้เกิดการ
ตรวจสอบ และมี่ส่วนร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น

ผลกระทบ

1. เดิมร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ได้ยกเว้นที่อยู่อาศัยทุกประเภท และพื้นที่เกษตรกรรม  ร่าง
พระราชบัญญัติปัจจุบันยกเว้นการถือครองไม่เกินมูลค่าที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา 

2. เนื่องจากฐานภาษีคำนวณจากมูลค่าทรัพย์สิน จะเพิ่มภาระกรณีเจ้าของทรัพย์สินประสบปัญหา 
รวมถึงทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการบังคับคดีหรือขายทอดตลาด

3. กระทบต่อกลุ่มซึ่งถือครองทรัพย์สินโดยไม่มีวัตถุประสงค์ในการค้าหรือหากำไร แต่อยู่ในพื้นที่
ซึ่งราคาประเมินทรัพย์สินสูง

4. กระทบต่อผู้ซึ่งต้องชำระเงินค่าบำรุงรักษาสาธารณูปโภค หรือบริการสาธารณะตามกฎหมายอื่น
อยู่แล้ว

ข้อสังเกตและผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัยในโครงการ
จัดสรรและโครงการอาคารชุด

1. หากมีการประกาศใช้พรบ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ก็ควรมีการทบทวนโครงสร้างภาษีและ
ค่าใช้จ่ายทุกประเภทที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนมือการซื้อขาย หรือการโอนกรรมสิทธิ์ 
เพราะปัจจุบันแม้ว่าอาคารจำนวนมากจะมิได้เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินหรือภาษีบำรุงท้องที่ แต่ก็จะ
เสียภาษีที่เกิดจากการเปลี่ยนมือทุกทอด คือ ภาษีธุรกิจเฉพาะ3.3%( จากราคาซื้อขาย) 
ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม2% (ของราคาประเมิน) ภาษีเงินได้อีก2-5% 
(ขึ้นอยู่กับฐานภาษีและจำนวนปีที่ถือครอง) เพราะหากต่อไปที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทุกประเภทต้อง
เสียภาษีทุกปี ก็ควรต้องทบทวนโครงสร้างภาษีและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการโอนกรรมสิทธิ์หรือซื้อ
ขายไปพร้อมกันด้วย

2. กรณีโครงการหมู่บ้านจัดสรร หรือกรณีอาคารชุด ซึ่งมีการจัดตั้งนิติบุคคลบ้านจัดสรรหรือนิติบุคคล
อาคารชุด ตาม พรบ.จัดสรรที่ดินพ.ศ 2543 หรือตามพระราชบัญญัติอาคารชุด และมีการจัดเก็บค่า
สาธารณูปโภค และบริการสาธารณะตามกฎหมายเป็นประจำทุกเดือน เพื่อดูแล ถนน ท่อระบายน้ำ 
สวนสาธารณะ ระบบไฟส่องสว่าง ระบบรักษาความปลอดภัย  ควรมีมาตรการในการลดหย่อนภาษี
ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะโครงการเหล่านี้จะลดภาระการดูแลของท้องถิ่นได้เป็นจำนวนมากตั้งแต่
การจัดสร้างและการบำรุงรักษา  ไม่ว่าจะเป็นถนน ท่อระบายน้ำ ไฟส่องสว่างและสาธารณูปโภคอื่นๆ

3. ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เพื่อเป็นสาธารณูปโภคหรือเพื่อการสันทนาการหรือเพื่อการศึกษา เพื่อ
สุขภาพอนามัยของประชาชน เช่น ถนนในโครงการจัดสรรหรือนิคมอุตสาหกรรม อาคารสโมสร 
สวนสาธารณะ  สนามกีฬา โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ  ควรมีข้อยกเว้นหรือกำหนดอัตราภาษีใน
อัตราต่ำที่สุดเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุน
ข้อมูลโดย คุณอิสระ บุญยัง อุปนายกฝ่ายวิชาการ
                  http://www.housingbiz.org/